My distress
This is probably the first time in my blog to show how ridiculous I am at times. Normally I would be very conscious and rational when I write. And I really can't help with that. please excuse me this time.
พิมพ์ไทยดีกว่า คือว่าตอนนี้เครียด และเซ็งมากๆ แหม ยังกับว่าเรื่อเรียนกับงานยังยุ่งไม่พอ ยังมีปํญหาบ้านเมือง สังคมไทยมันรุ้มเร้าให้หงุดหงิดหัวใจเข้าไปใหญ่ เรื่องนี้เป็นอาการเรื้อรังครับตั้งแต่เรื่อง พรบ.ความมั่นคงที่ให้อำนาจกองทัพอยู่เหนือ รธน. ข่าวอุ้มคนพันทิพย์ พรบ.อินเตอร์เน็ต กฎหมายหมิ่นเบื้องสูงฉบับใหม่ที่ต่อไปถึงขุนนางทั้งหลาย
จริงๆก็แค่ไปอ่านข่าวเรื่องพรบ .เซ็นเซอร์ภาพยนตร์ใหม่เนี่ยแหละ ที่ต่่อแต่นี้ไปจะไม่แค่จัดเรตติ้งธรรมดา(ซึ่งทั่วไปผมเห็นว่าดีนะ) แต่เสือกจะมีการตัดสินแบนหนังอย่างถาวรไม่ให้ผู้ใดในโลกนี้ดูโดยคณะกรรมการ (ซึ่งคือใครไม่รู้)ที่รัฐบาล/ทหาร/อภิสิทธิ์ชน/ขุนนาง(ซึ่งก็คือใครก็ไม่รู้อีกแหละู้)
แมร่งจะอะไรกันนักกันหนาวะไอ้กระทรวงวัฒนธรรมเนี่ย มันมี raison d'etre ตรงไหนไม่เข้าใจ กับการควบคุมและยัดเยียด ไอ้"วัฒนธรรมที่ดีงาม" และ "พุทธศาสนา" ที่มันว่าเนี่ย ไม่รู้เค้าเข้าใจรึเปล่าเนี่ยว่าวัฒนธรรมคืออะไร ที่หงุดหงิดมากเลยคือการที่ ให้คนโง่ไม่กี่คน ที่โง่คนเดียวไม่พอ ยังอยากให้เยาวชนคนทั้งชาติโง่ตามมันไปด้วยเนี่ย รับไม่ได้อย่างแรงครับ "ผู้ใหญ่"แบบนี้ที่ไม่อยากให้คนมีความคิดมีวิจารณญาณ ปิดปาก ปิดกั้นความคิด จินตนาการ และการอภิปรายกันอย่างเปิดกว้างและเสมอภาค
อันที่จริงผมว่า คนพวกนี้คง ๑). ไม่ได้สนใจอยากให้สังคมไทยก้าวหน้าหรอกครับ เพราะถ้าคนไทยฉลาดแล้วปกครองยาก คงอยากให้ทุกคนเป็นเด็ก เชื่อฟัง จะได้เอาเปรียบได้ง่ายๆ ๒). พอได้กฎหมายเป็นเครื่องมือแล้วคงได้ใจเลย ทีนี่ใครไม่เห็นด้วยหรือวิจารย์มันก็เล่นงานได้ง่ายๆเลย
พูดตรงๆว่ามองสังคมไทยแล้วรู้สึกตกต่ำว่ะ มีแต่การเอารัดเอาเปรียบของคนมีอำนาจต่อคนจนคนท้องถิ่นที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ รวมทั้งชนชั้นกลางที่นิ่งดูดาย (อาจเพราะระอาไม่แคร์ หรือไม่ก็ร่วมกินโต๊ะด้วยเลย ประมาณว่ากรูและครอบครัวอยู่รอดก็โอเคแล้ว...ซึ่งถ้าคิดดูแล้วก็ฉงนว่า...จริงหรือ?? อีกนั่นแหละ)
เหมือนเกิดมาเป็นคนไทยแล้วอาภัพ ต้องตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มอำนาจกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แต่ก่อนเป็นเครื่องของคนเล่นการเมือง นายทุนและกลุ่มผลประโยชน์ ทีนี้ก็กลายเป็นเครื่องมือเชิงโครงสร้าง โดยนิตินัยไปตั้งแต่ทางกฎหมายเลย โดยเหล่าขุนนาง ทหาร ซึ่งก็คือกลุ่มอำนาจเก่า "ผู้ใหญ่"ทั้งหลายที่ต้องการให้คนไทยทุกคนกลายเป็นเด็ก ไร้วุฒิภาวะกันทั้งสังคม ไม่ทราบว่าคนพวกนี้มีสิทธิได้อย่างไร แค่เพราะเราไม่ไปรวมกลุ่มเดินขบวนต่อต้านทุกเรื่องทุกราว แค่เพราะคนเกินครึ่งของที่ไปออกสิทธิ์ลงประชามติยอมรับร่างรธน.แล้วคุณคิดว่าจะลุกล้ำสิทธิพลเมืองอย่างไรก็ได้โดยไม่ต้องรับผิด เช่นนั้นหรือ
ความยุติธรรมหายไปไหน ก่อนนี้ไม่นานมานี้เคยคิดว่าสังคมไทย ได้เปิดกว้างขึ้นแล้ว ตื่นแล้วจากความมีมิติเดียวไปสู่ความเสรี มีศิลป์จรรโลงใจ ที่ทำให้เราครุ่นคิด และเข้าใจถึงความเป็นมนุษย์ในมุงมองที่ลึกขึ้น ละเอียดอ่อนขึ้น เข้าใจและยอมรับความแตกต่างที่สร้างสรรค์ของเพื่อนร่วมชาติ แต่ตอนนี้รู้สึกสิ้นหวังจริงๆ กับหนึ่งปีที่ผ่านไป
ระเบิดไปมากแล้ว พอดีก่า มองโลกในแง่ดีบ้างดีกว่า อีกหน่อยพอผมกลับเมืองไทย ถึงแม้จะเป็นคนตัวเล็กๆ ไม่ได้เก่งกาจอะไร แต่ปุถุชนกระฎุมภีคนนี้แหละ จะพยายามทุ่มพลังความคิดของตนเองเพื่อปลูกฝังคนรุ่นใหม่ให้ ช่างขบคิดวิเคราะห์ แสวงหาความชอบธรรม และความสุขที่แท้จริงให้กับตนเองและสังคมต่อไป
ปล. ขออภัยที่ใช้ภาษารุนแรงครับ มันเหลืออดจริงๆ...
ปลล. หัวข้อหน้าจะบ่นการเมืองน้อยกว่านี้ แต่จะเขียนเรื่องวัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น (แหมอุตส่าห์เรียนฟิสิกส์กะเค้าทั้งทีแต่ดัน ไม่เคยสื่อให้ไครเห็นเลยว่าฟิสิกส์สำคัญตรงไหนกับประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย แต่ดันชอบดื่มด่ำงานศิลป์สร้างสรรค์ และความคิดเชิงสังคม)
แต่เอ๊ะ ไม่รู้มีคนมาอ่านบล็อกเราบ้างเปล่าเนี่ย นอกจากเพื่อนคนญี่ปุ่น เพื่อนที่อเมริกา และเพื่อนคนไทยไม่กี่คน
Ong
Nitipat Pholchai
Labels: personal
0 Comments:
Post a Comment
<< Home