Saturday, December 22, 2007
Friday, December 21, 2007
Thai indie
Here are Tattoo Colour and Scrubb with their mixed idiosyncratic pomo rock style. They sound easy and passing atmosphere of a Bangkokian pub-restaurant of the young. I first encountered Fah (Tattoo's most popular song) on the bus just the day before I flew out of Bangkok to Berkeley. It was love at first hearing and then I googled the band from my fragmented memory of the lyric. I thought the vocal is quite awesome with his jazzy style and soon found out that the guitarist (Ruzzy) is also really talented and can really sing. (the vocal once gave a comment that the band could have only Ruzzy if he had ten arms because he composed and arranged his songs and could play any instrument). Anyway, the reason I like this band very much is probably because they capture the sensibility of the Thais of my age (and they are same years as mine).
The other band is Scrubb. I can't tell what their style is, but i like the fresh sound of acoustic guitar mixing with some instruments. somewhat like Brit pop, maybe?
Thai music: OST. Love of Siam
After hearing so much hype about this new coming of age Thai movie on thai webboard, i started listening to the soundtrack and totally fall in love with these songs. now they made me really want to see the movie. but it definitely should take many more months before i possibly can. it does look like a good movie--plus i heard the story is unusual, at least in the context of thai cinema, and has stirred varied emotional reaction from the audience. To me these songs, while being regular pop songs, sounds strangely hypnotizing, like they are telling a story.
for the trailer, you can find it on youtube:
http://youtube.com/watch?v=Ag06hQdziBU
Monday, December 17, 2007
Insomniac
Hmmm...couldn't fall asleep tonight. probably as a result of pulling too many all-nighters in the past few days studying for my finals. Too bad I tend to be a night type when it comes to working out math-physics problems (+.+)zzzz ...two more days
this weekend, I found many interesting thai sites/blogs, though. one is for a popular science book with really edgy, funny writing style. just notice lately that many young thai bloggers are posting science knowledge in language digestible/entertaining for laypersons.
โลกจิต : http://www.wit-view.com/lokjit/
also another work by my awesome friend which I belatedly realized was nominated for SEAWRITE literaty award in 2006
เด็กกำพร้าแห่งสรวงสวรรค์ - ภาณุ ตรัยเวช
(click for a review in Thai)
again, borne in me a new inspiration...
but got to go now, my roommate just walked in to sleep in his bed...
Labels: personal
Saturday, December 15, 2007
ประติมากรรมเรขาคณิต
เมื่อวานได้ลองกูเกิ้ลเรื่องโอริงามิ เพราะอยากรู้ว่าเซึยนทั้งหลายเค้าออกแบบงานกันยังไง จริงๆมีเพือ่นที่ญี่ปุ่นคนนึงที่พับได้เก่งมาก แค่บอกไปว่าอยากได้อะไรมันพับให้เลย แต่มันจะชอบพับออกแนวทะลึ่งๆ อุบาทว์หน่อย อิอิ...ไม่บอกแล้วกันว่ามันพับอะไรให้ แต่แบบว่าพิเรนทร์สุดๆ
เข้าเรื่อง...ทีนี้ก็พอรู้มาว่ามันมีหลักการทางเรขาคณิตในการพับอยู่เหมือนกัน นักปรัชญากรีกโบราณรวมทั้งนิวตันได้เคยศึกษารูปเหลี่ยมสามมิติ และได้จัดประเภทไว้ตั้งนานแล้ว และมีความเชื่อมโยงกับทฤษฎีคณิตศาตร์สมัยใหม่ ที่เรียกว่าพีชคณิตนามธรรม (ไม่รู้เรียกเป็นภาษาไทยถูกเปล่าแฮะ) ก็พวก Group theory น่ะแหละ ซึ่งจะเป็นอีกรูปแบบ(formalism)หนึ่ง
ทฤษฎีที่ว่านี้ เข้าข่าย unifying theory คือเป็นแนวรวบกระบวนการจากหลายๆวิธีคิด (เช่นเรขาคณิตแบบใช้มือวาดลากเส้น แบบใช้ระบบพิกัดและสมการแทนรูปร่างเพื่อคำนวณ หรือไม่ก็แทนด้วยเวกเตอร์ไปเลย)
แล้วทฎษฎีสมัยใหม่ที่ว่านี้ ก็รวบยอดในแนวราบเพื่อมองเป็นภาพเดียวว่ามันคือปรากฏการณ์คล้ายๆกัน แล้วยังสามารถต่อยอดไปยังความคิดใหม่ๆและระบบอื่นๆเช่น ปม(knot) หรือ string ในทฤษฎีสตริงได้ ถือว่าทรงพลังมาก (ไม่ต้องไปไกลถึงคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ สำหรับวิศวะไฟฟ้าหรือเครื่องกลเอง คำตอบของสมการเชิงอนุพันธ์ หรือ อนุกรมฟูริเยร์ ก็เป็นองก์ประกอบของเวกเตอร์สเปส ซึ่งสามารถอธิบายได้กระทัดรัดด้วยพีชคณิตนามธรรม...อาจจะง่ายกว่าด้วยซ้ำ เพราะเห็นภาพรวมได้เร็วและชัดกว่าการลองคำณวนด้วยสูตรต่างๆ และสมการซับซ้อนมหาศาล)
ฟังดูซับซ้อนเนอะ จากสูงสุดสู่สามัญ มาเข้าเรื่องเรขาคณิตดีกว่า ถามว่าน่าสนใจยังไง ที่น่าสนใจเพราะเราทดลองได้ไงละ (เหมาะสำหรับเด็กไร้เดียงสาอย่างเรา) ฝึกสมองดีด้วยแถมเราสามารถโชว์ผลงานให้คนอื่นดูได้ไงล่ะ ยิ่งปัจจุบันเรามีคอมพิวเตอร์ที่ช่วยจำลองหรือคำนวณให้เราได้ คือสร้างคำสั่งให้มันทำซ้ำๆ ให้เราได้ เห็นแล้วอยากทำโปรเจกต์เลย (เมื่องานลองเล่น Mathmatica มีฟังก์ชัน polyhedra ด้วย) พวกถาปัตย์นี้คงชอบเลย
ลองมาดูแหล่งกัน geometry junkyard อันนี้เป็นลิงค์รวมเพื่อหาไอเดีย
หรือหนังสือเกมลองปัญญาเล่มนี้ "1000 PlayThinks: Puzzles, Paradoxes, Illusions&Games, Ivan Moscovich" ส่วนต้วชอบส่วนที่เป็นเกมภาพทั้งหลาย
และก็...นาย จอร์จ ฮาร์ต คนนี้ที่ใช้หลักสมมาตรและโทโพโลจีของรูปทรง มาออกแบบงานสามมิติที่ดูมีีชีิวิตชีวา น่าสนใจ http://www.georgehart.com/sculpture/sculpture.html ...แน่มาก บางอันนี่เป็นแฟรกทัลหรือสุ่มเพื่อเลียนแบบปรากฎการณ์ธรรมชาติอ่ะ
ฝากคนอ่านบล็อกเราลองคิดดูละกันว่างานออกแบบแนวนี้นอกจากเป็นมองเป็นศิลปะแล้ว ยังมีประโยชน์อะไรอีกบ้าง (ฮินท์ ลองนึกถึงหนังดูสิ)
PS: entry นี้ เนิร์ดได้ใจจริงๆ
Friday, December 07, 2007
Tuesday, December 04, 2007
Monday, December 03, 2007
My distress
This is probably the first time in my blog to show how ridiculous I am at times. Normally I would be very conscious and rational when I write. And I really can't help with that. please excuse me this time.
พิมพ์ไทยดีกว่า คือว่าตอนนี้เครียด และเซ็งมากๆ แหม ยังกับว่าเรื่อเรียนกับงานยังยุ่งไม่พอ ยังมีปํญหาบ้านเมือง สังคมไทยมันรุ้มเร้าให้หงุดหงิดหัวใจเข้าไปใหญ่ เรื่องนี้เป็นอาการเรื้อรังครับตั้งแต่เรื่อง พรบ.ความมั่นคงที่ให้อำนาจกองทัพอยู่เหนือ รธน. ข่าวอุ้มคนพันทิพย์ พรบ.อินเตอร์เน็ต กฎหมายหมิ่นเบื้องสูงฉบับใหม่ที่ต่อไปถึงขุนนางทั้งหลาย
จริงๆก็แค่ไปอ่านข่าวเรื่องพรบ .เซ็นเซอร์ภาพยนตร์ใหม่เนี่ยแหละ ที่ต่่อแต่นี้ไปจะไม่แค่จัดเรตติ้งธรรมดา(ซึ่งทั่วไปผมเห็นว่าดีนะ) แต่เสือกจะมีการตัดสินแบนหนังอย่างถาวรไม่ให้ผู้ใดในโลกนี้ดูโดยคณะกรรมการ (ซึ่งคือใครไม่รู้)ที่รัฐบาล/ทหาร/อภิสิทธิ์ชน/ขุนนาง(ซึ่งก็คือใครก็ไม่รู้อีกแหละู้)
แมร่งจะอะไรกันนักกันหนาวะไอ้กระทรวงวัฒนธรรมเนี่ย มันมี raison d'etre ตรงไหนไม่เข้าใจ กับการควบคุมและยัดเยียด ไอ้"วัฒนธรรมที่ดีงาม" และ "พุทธศาสนา" ที่มันว่าเนี่ย ไม่รู้เค้าเข้าใจรึเปล่าเนี่ยว่าวัฒนธรรมคืออะไร ที่หงุดหงิดมากเลยคือการที่ ให้คนโง่ไม่กี่คน ที่โง่คนเดียวไม่พอ ยังอยากให้เยาวชนคนทั้งชาติโง่ตามมันไปด้วยเนี่ย รับไม่ได้อย่างแรงครับ "ผู้ใหญ่"แบบนี้ที่ไม่อยากให้คนมีความคิดมีวิจารณญาณ ปิดปาก ปิดกั้นความคิด จินตนาการ และการอภิปรายกันอย่างเปิดกว้างและเสมอภาค
อันที่จริงผมว่า คนพวกนี้คง ๑). ไม่ได้สนใจอยากให้สังคมไทยก้าวหน้าหรอกครับ เพราะถ้าคนไทยฉลาดแล้วปกครองยาก คงอยากให้ทุกคนเป็นเด็ก เชื่อฟัง จะได้เอาเปรียบได้ง่ายๆ ๒). พอได้กฎหมายเป็นเครื่องมือแล้วคงได้ใจเลย ทีนี่ใครไม่เห็นด้วยหรือวิจารย์มันก็เล่นงานได้ง่ายๆเลย
พูดตรงๆว่ามองสังคมไทยแล้วรู้สึกตกต่ำว่ะ มีแต่การเอารัดเอาเปรียบของคนมีอำนาจต่อคนจนคนท้องถิ่นที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ รวมทั้งชนชั้นกลางที่นิ่งดูดาย (อาจเพราะระอาไม่แคร์ หรือไม่ก็ร่วมกินโต๊ะด้วยเลย ประมาณว่ากรูและครอบครัวอยู่รอดก็โอเคแล้ว...ซึ่งถ้าคิดดูแล้วก็ฉงนว่า...จริงหรือ?? อีกนั่นแหละ)
เหมือนเกิดมาเป็นคนไทยแล้วอาภัพ ต้องตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มอำนาจกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แต่ก่อนเป็นเครื่องของคนเล่นการเมือง นายทุนและกลุ่มผลประโยชน์ ทีนี้ก็กลายเป็นเครื่องมือเชิงโครงสร้าง โดยนิตินัยไปตั้งแต่ทางกฎหมายเลย โดยเหล่าขุนนาง ทหาร ซึ่งก็คือกลุ่มอำนาจเก่า "ผู้ใหญ่"ทั้งหลายที่ต้องการให้คนไทยทุกคนกลายเป็นเด็ก ไร้วุฒิภาวะกันทั้งสังคม ไม่ทราบว่าคนพวกนี้มีสิทธิได้อย่างไร แค่เพราะเราไม่ไปรวมกลุ่มเดินขบวนต่อต้านทุกเรื่องทุกราว แค่เพราะคนเกินครึ่งของที่ไปออกสิทธิ์ลงประชามติยอมรับร่างรธน.แล้วคุณคิดว่าจะลุกล้ำสิทธิพลเมืองอย่างไรก็ได้โดยไม่ต้องรับผิด เช่นนั้นหรือ
ความยุติธรรมหายไปไหน ก่อนนี้ไม่นานมานี้เคยคิดว่าสังคมไทย ได้เปิดกว้างขึ้นแล้ว ตื่นแล้วจากความมีมิติเดียวไปสู่ความเสรี มีศิลป์จรรโลงใจ ที่ทำให้เราครุ่นคิด และเข้าใจถึงความเป็นมนุษย์ในมุงมองที่ลึกขึ้น ละเอียดอ่อนขึ้น เข้าใจและยอมรับความแตกต่างที่สร้างสรรค์ของเพื่อนร่วมชาติ แต่ตอนนี้รู้สึกสิ้นหวังจริงๆ กับหนึ่งปีที่ผ่านไป
ระเบิดไปมากแล้ว พอดีก่า มองโลกในแง่ดีบ้างดีกว่า อีกหน่อยพอผมกลับเมืองไทย ถึงแม้จะเป็นคนตัวเล็กๆ ไม่ได้เก่งกาจอะไร แต่ปุถุชนกระฎุมภีคนนี้แหละ จะพยายามทุ่มพลังความคิดของตนเองเพื่อปลูกฝังคนรุ่นใหม่ให้ ช่างขบคิดวิเคราะห์ แสวงหาความชอบธรรม และความสุขที่แท้จริงให้กับตนเองและสังคมต่อไป
ปล. ขออภัยที่ใช้ภาษารุนแรงครับ มันเหลืออดจริงๆ...
ปลล. หัวข้อหน้าจะบ่นการเมืองน้อยกว่านี้ แต่จะเขียนเรื่องวัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น (แหมอุตส่าห์เรียนฟิสิกส์กะเค้าทั้งทีแต่ดัน ไม่เคยสื่อให้ไครเห็นเลยว่าฟิสิกส์สำคัญตรงไหนกับประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย แต่ดันชอบดื่มด่ำงานศิลป์สร้างสรรค์ และความคิดเชิงสังคม)
แต่เอ๊ะ ไม่รู้มีคนมาอ่านบล็อกเราบ้างเปล่าเนี่ย นอกจากเพื่อนคนญี่ปุ่น เพื่อนที่อเมริกา และเพื่อนคนไทยไม่กี่คน
Ong
Nitipat Pholchai
Labels: personal
Sunday, December 02, 2007
Now listening
New album by Bodyslam: "Save my life"
One of my favorite band from Thailand. Now they are getting more and more hardcore.
Labels: music